Sunday, September 15, 2013

Khunnai in Japan Episode# 1

 

 

แม้ว่าจะเป็นมนุษย์สุขนิยมตัวกลั่น คุณนายก็ไม่เคยไปเหยียบดินแดนอาทิตย์อุทัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอรัฐบาลญี่ปุ่นผ่อนผันให้ไม่ต้องทำวีซ่า คุณนายก็เลยชวนคนรู้ใจไปญี่ปุ่นด้วยกันสักหน่อย เนื่องจากค่าตั๋วไม่แพงมาก เลยจัดทริปกันแค่ 7 คืน 8 วัน ก่อนไปก็หาข้อมผูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านญี่ปุ่นหลายคน จากนั้นก็เริ่มจองโรงแรม จองซะช้าเลยเต็มไปก็เยอะ แต่ไปช่วงกันยาไม่ใช่ high season เลยยังพอได้ที่ดีๆอยู่

วันแรก

เดินทางจากสุวรรณภูมิถึงโอซาก้าตอนเย็นมากแล้ว ด้วยความที่ไม่เคยมาญี่ปุ่นกันเลยจริงๆ เลยงงกับระบบรถไฟของที่นี่มาก อะไรมันจะหลายบริษัทขนาดนั้นฟระ ถามไปถามมา เจ้าหน้าที่โบ้ยไปที่ JR Loop Line เพราะเราบอกว่าจะไปลง Umeda รถ JR Loop Line นี่มันหวานเย็นมากจริงๆ ค่อยเป็นค่อยไป กว่าจะถึงสถานีก็ปาเข้าไปชั่วโมงนิดๆ พอไปถึงก็เช็คอินเข้าโรงแรมสุดใกล้สถานี ในห้องสุดจิ๋ว เตียงนี่เล็กได้ใจ คือต้องนอนกอดกันกลมแน่นอน หลังจากนั้นก็ออกหาดินเนอร์กัน ตกลงใจกันว่าจะเดินไกลหน่อย จะได้ไปเห็นสีสันของ Umeda Osaka กันสักหน่อย

เราเดินกันจนมาถึงคิตะ เป็นแหล่งของอร่อยและแหล่งช้อปปิ้ง สุดท้ายก็ลองโฉบเข้าไปร้านซูชิร้านนึงในแถบนั้น(ขออภัยด้วย บอกไม่ได้ว่ากินร้านไหน เพราะมันมีแต่ชื่อภาษาญี่ปุ่นล้วน!) ซึ่งมีเมนูภาษาอังกฤษแต่พูดกันไม่ค่อยได้ เราเลยสั่งซูชิที่เรารู้จักคุ้นเคยและอยากกิน สรุปกันได้ว่า ขนาดร้านที่เราสุ่มเลือกกินมันยังอร่อยเลย ถ้าร้านขึ้นหิ้งมันจะขนาดไหน

ออกมากินข้าวเช้าตรงร้านแถวบ้าน ซึ่งไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ เลยต้องไปจิ้มหน้าร้านเอา วิธีเอาตัวรอดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณผู้ชายติดใจร้านไอที,เกมส์,กล้องที่อยู่ตรงกันข้าม ในร้านมีเกมส์ทุกประเภทเรียกว่าปลุกความเป็นเด็กในตัวคุณผู้ชายข้างกายขึ้นมาทันที ส่วนกล้องที่มีอยู่น้อยนิดก็ทำให้เขาเริ่มเกิดความคิดอยากจะซื้อกล้องที่ญี่ปุ่นขึ้นมาทีเดียว

วันที่สอง

เราขึ้นรถไฟ JR Line ที่ Osaka station ไปลง Kyoto station แล้วขึ้นแท็กซี่ไปบ้านพักในเกียวโตของเรา บ้านพักหลังนี้เป็นบ้านของลุงคนญี่ปุ่นชื่อ Haruhisa Ono ที่พักชื่อ Studio Veada Kyomachiya [sxki32458@nike.eonet.ne.jp] เราพักที่เกียวโตสามคืน คืนสุดท้ายเราจะพักเรียวกังชื่อดัง สองคืนแรกเลยลองพักแบบแตกต่างไปบ้าง ลุงโอโน่เป็น graphic designer ที่หันมาตกแต่งบ้านญี่ปุ่นที่เก่าเป็นร้อยปี แม้ว่าลุงจะดูงงๆไปหน่อย แต่ที่พักของลุงเริ่ดมากเทียบค่าที่พัก มีห้องนั่งเล่น ห้องนอน สวนเล็กๆ ห้องน้ำ (แยกห้องอาบน้ำ ห้องน้ำหญิง ห้องน้ำชาย) และห้องทานข้าวของเราเอง แล้วที่พักก็อยู่ในย่าน Gion ซึ่งใกล้กับที่ที่เราจะไปมากมาย แล้วลุงก็พาเราไปกินมื้อกลางวันใกล้ๆบ้านลุง เป็นร้านเล็ก มีประมาณสิบยี่สิบที่นั่ง แล้วไม่ต้องสั่ง เราเค้าจัดเซ็ทให้เป็นอาหารชุดแบบเกียวโต ซึ่งน้อยเกิ้น คุณผู้ชายหาได้อิ่มไม่

 

จากนั้นเราก็ลุยไปวัดแรกของเกียวโตนั่นคือ Kiyomizu-dera ซึ่งเดินไปจากที่กินกลางวันไม่ไกล ทางเดินไปวัดมีคนญี่ปุ่นเยอะมากถึงมากที่สุด พอถึงวัดคนก็เยอะมาก เป็นวัดยอดฮิตว่างั้น วัดนี้สีสันจาดจ้าน ใหญ่โต มีกลุ่มอาคารหลายหลังมากมาย ที่น่าทึ่งมากคืออาคารที่มีเฉลียงขนาดใหญ่ที่อิงอยู่บนหน้าผา คุณผู้ชายสถาปนิกข้างกายบอกว่ามีความสำคัญด้านสถาปัตยกรรมมากมายเพราะสร้างขึ้นมาจากหน้าผาได้สูงมาก ในวัดยังมีศาลเจ้ามากมายและมีหินสองก้อนที่หากหลับตาเดินถึงกันได้แปลว่าจะประสบความสำเร็จในความรัก

หลังจากเดินกันอยู่นานเราจึงเริ่มออกเดินอีกครั้งเพื่อไปวัด Kodai-ji ทางเดินระหว่างสองวัดนี้เค้าเรียกรวมๆว่า Higashiyama เป็นทางเดินที่เค้าอนุรักษ์ไว้ สังเกตได้คือเค้าจะทำทางเดินปูด้วยหินเรียบเป็นพิเศษ สองข้างทางจะเป็นร้านรวงที่คงความดั้งเดิมของเกียวโตเอาไว้ เราก็เดินอย่างเพลิดเพลิน ระหว่างทางจะมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีรับจ้างลากรถให้เรานั่งชมเมืองได้ คนนั่งส่วนมากเป็นผู้หญิงญี่ปุ่นหน้าตาดีเช่นกัน สงสัยว่าเค้าคงจีบกันมากกว่ารับจ้างกันเป็นจริงเป็นจัง หลังจากเดินอยู่พักใหญ่จนมาถึงสวนสวยชื่อ Maruyama-koen เราก็รู้ตัวแล้วว่าเราเดินเลย จึงพยายามเดินกลับไปก็เลยอีก จนสุดท้ายจึงเจอว่าต้องเดินขึ้นบันไดไปจากป้ายภาษาญี่ปุ่นที่มีภาษาอังกฤษซ่อนอยู่ตัวเล็กๆ เดินขึ้นไปถึงวัดก็ปิดพอดี (วัดที่นี่ส่วนใหญ่ปิดประมาณสี่ครึ่งถึงห้าครึ่ง) เศร้าเลย อุตส่าห์หาเจอ

อ่ะ เราจะไม่ท้อ มุ่งหน้ากลับมาที่สวนสวยสวนเดิม แล้วเดินต่อมาที่ศาลเจ้า Yasaka-jinja ซึ่งสวยงามมากในยามโพล้เพล้พระอาทิตย์กำลังตก พอเริ่มมืดไฟตามศาลเจ้าก็เริ่มเปิด มันรู้สึกขลังดีอ่ะที่ได้เดินในศาลเจ้าในกรุงเก่าอย่างเกียวโต จากนั้นเราก็เดินออกจากศาลเจ้าทะลุมาถึงถนน Shijo-dori ซึ่งเป็นถนนย่าน downtown ของเกียวโต ข้ามสะพาน Shijo ohashi มาอีกฝั่ง กะว่าจะมากินสุกี้ยากี้ร้านดัง Sukiyaki amishima Tei เดินหากันจนเจอแต่อดจ้า ต้องจองเท่านั้นร้านเค้าเต็มฮ่ะ

เราเลยเดินเรื่อยเปื่อยจองพึ่งพา TripAdvisor แอ็ปโปรดของคุณนาย ซึ่งนำเหนอร้านเทมปุระที่อยู่ไม่ไกลร้านนึงชื่อ Ten Yuo [tel: +81 2075-212-7778] ซึ่งซ่อนตัวอยู่ชั้นสองของร้านเฟอร์นิเจอร์อีกที ขึ้นไปถึงก็เป็นร้านขนาดเล็กมากมีเชฟอยู่ตรงกลางและมีสิบที่นั่งเป็นบาร์อยู่รอบเชฟ ดีนะที่ก่อนมาเราดูหนังเรื่อง Jiro: Dream of sushi มากันก่อน เพราะร้านนี้ก็ประมาณนั้นเลย เชฟจะทอดเทมปุระให้เราทานทีละอย่าง วางบนจานหน้าเราอย่างบรรจงดั่งงานศิลปะ เราเลือกได้ที่จะจิ้มน้ำจิ้มเทมปุระหรือเกลือกับพริกไทยญี่ปุ่น (ที่หอมเหลือเกิน) เรากินอาหารทั้งหมดสิบอย่าง (Appetizer, เทมปุระเจ็ดอย่าง, ข้าวผัด, ของหวาน) ที่อร่อยมากจริงๆ แบบแระทับใจไม่ลืมเลยคือสาหร่ายห่อหอยเม่นเทมปุระ แต่โดยรวมเราประทับใจกับประสบการณ์นี้มาก เพราะมันช่างพิเศษเสียจริงๆ

คืนนั้นเดินกลับบ้านลุงด้วยความงง เพราะบ้านแกอยู่สุดซอยแล้วมันก็มืดมาก ต้องขอบคุณ Google Map บนไอโฟนกับฟังชั่นบอกทางเดินและ 3G ในญี่ปุ่นที่ดีเป็นเลิศ ถึงบ้านลุงมาเปิดต้อนรับด้วยความสลึมสลือ เพราะบ้านนี้ไม่มีกุญแจ ลุงแกบอกว่าตัวแกนั่นแหล่ะคือกุญแจ เจ๋งไหมล่ะ อาบน้ำที่บ้านนี้ทำให้ได้ลองอาบแบบคนญี่ปุ่นคือนั่งเก้าอี้ซักผ้าอาบ พอนั่งปั๊บเราจะเห็นตัวเองในกระจกเต็มตัวทีเดียว นับเป็นประสบการณ์ที่แปลก แต่หลายคืนก็ชักติดใจแฮะ

คุณนายอินเจแปนจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามตอนต่อไปนะฮะ กับการเที่ยวกันเองแบบฉบับคุณนาย การันตีว่ามีครบทุกรสยกเว้นรสจืดจ้ะ.