Tuesday, May 24, 2011

Are you a hedonista?





คุณนายทั้งหลายคงคุ้นชินกับคำว่า fashionista กันอยู่แล้ว แปลประมาณว่า หญิงสาวที่ชื่นชอบแฟชั่น วันนี้คุณนายหน่อยจะมานำเหนอคำใหม่ คือคำว่า hedonista คุณนายคงเคยได้ยินคำว่า hedonism, hedonistic, หรือ hedonist กันมาบ้าง แปลประมาณได้ว่า ศาสตร์ว่าด้วยการดำเนินชีวิตด้วยการเสพย์สุข สุขเยอะๆเศร้าน้อยๆเป็นดี ทีนี้ภาษาละตินเวลาจะเปลี่ยนคำนามเป็นเพศหญิง เราเติม -a อันนี้คุณนายก็เลยเติม -a เข้าไปให้กลายเป็น hedonista จึงน่าจะแปลได้ว่า หญิงสาวที่นิยมดำเนินชีวิตด้วยการเสพย์สุข

วันนี้อยากมาเชิญชวนคุณนายทั้งหลายให้มาเป็น hedonista ด้วยกัน คุณนายหน่อยสมัครเป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ชมรมนี้มาหลายปีดีดักแล้ว กำลังหาทางต่ออายุสมาชิกแบบตลอดชีพอยู่ คุณนายเชื่อเหลือเกินค่ะว่า ความสุขเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างพลัง สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างภูมิต้านทานในการทำงานและต่อสู้กับปัญหาต่างๆ การเสพย์สุขเยอะๆ ทำให้เราสวยขึ้น สาวขึ้น ฉลาดขึ้น อารมณ์ดีขึ้น และที่สำคัญ ทำให้คนรอบข้างเราสดใสและมีความสุขตามไปด้วย

จริงๆ เรื่องศาสตร์แห่งการเสพย์สุขนี้มีเรื่องเล่าได้อีกเยอะ แต่วันนี้เอาสั้นๆ ก่อนเนอะ ก็คือคุณนายอยากเชิญชวนให้ทุกคนลองมองหาวิธีเสพย์สุขของตัวเอง วิธีที่ไม่แพง ทำได้ง่ายๆ และได้ความสุขจริงๆ (ถ้าเป็นไปได้ ผลข้างเคียงต่อตนเองและผู้อื่นน้อยที่สุด)​ อ่ะ คุณนายยกตัวอย่างของตัวเองให้ฟังดีกว่า วิธีบำบัดความสุขง่ายๆ ได้ผลเร็วของคุณนายคือ ร้องเพลงให้ตัวเองฟัง นั่งเปิดแมกกาซีนแฟชั่นผ่านๆให้เห็นเสื้อผ้าใหม่ๆภาพโฆษณาใหม่ แช่เท้า-ขัดเท้า-ทาครีม-นวดเท้าด้วยตนเอง แต่งหน้า(โดยเฉพาะตอนปัดขนตา) กินไอศกรีม swensen's รส peanut butter นวดอโรมา ฟังเพลงเพราะๆซักเพลง ดูหนังดีๆซักเรื่อง ฯลฯ

ง่่ายพอมั้ยคะ คุณนายสามารถคิดได้อีกสิบยี่สิบเรื่องอย่างง่ายๆ เลย คุณนายคนอื่นๆ มีวิธีสร้างความสุขอย่างง่ายๆ บ้างไหม ถ้าไม่มี หรือยังมีน้อยอยู่ ลองเปลี่ยนความคิดแล้วทำอะไรเพื่อตัวเองง่ายๆ บ้างไหมคะ แล้วคุณนายจะพบว่าความสุขหาง่ายเสพย์ง่ายกว่าที่คิด

แต่คุณนายค้นพบว่า ความสุขแบบข้างบนบางทีมันก็เข้ามาแล้วก็หายไป ไม่ค่อยยืนยาว หรือมีความหมายลึกซึ้งกับเรามากนัก (แต่ก็ยังจำเป็น และควรทำอยู่บ่อยๆนะ) ความสุขจากอะไรบางอย่างที่มีความหมายเชิงลึกกับเราเนี่ย มันยืนยาวกว่า แล้วมันก็จับใจ ฝังลึกกว่า และจริงๆก็ทำได้ง่ายๆ เหมือนกัน ความสุขประเภทนี้ทำให้ใจอุ่น ใจพอง ร่างกายแข็งแรง อารมณ์ดี ยิ้มง่าย ตัวอย่างจากคุณนายเองก็เช่น การได้แซวแม่ตัวเองจนแม่ขำหรือเขิน การได้แลกเปลี่ยนความคิด,ได้คุยเรื่องลึกๆกับเพื่อนสนิท การได้ช่วยแนะนำเรื่องเรียนต่อหรือการทำงานให้คนที่เด็กกว่าเรา การที่หลานตัวเองวิ่งมากอด การได้ขับรถไปหาคนรู้ใจ (เพราะธรรมดาเค้าจะขับมาหาเราตลอด) การได้บอกรักและได้รับการบอก ฯลฯ

คุณนายมานั่งคิดว่าทำไมความสุขแบบนี้มันดี๊ดี โด๊นโดน อือม คงเพราะมันเป็นความสุขที่เราไม่ได้เสพย์อยู่คนเดียวมั้ง เราแบ่งปันให้คนอีกคนหรืออีกหลายคนได้เสพย์สุขไปด้วย เราก็เลยสุขเพิ่มขึ้นจากการที่คนอื่นสุขเพราะเรา เป็นเอฟเฟคยกกำลังอะไรทำนองนี้

ก่อนจะจากไป อยากฝากไว้อีกอย่างกับคนที่ในใจกลัวว่า ถ้าเราเป็น hedonista เราจะเห็นแก่ตัวมั้ยที่เอาแต่แสวงหาความสุขใส่ตัวแบบนี้ ก็ไม่อยากตอบว่าใช่หรือไม่ใช่หรอก แล้วแต่คนจะมอง คุณนายก็แค่มองว่า ตราบใดที่การหาความสุขของเราไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร มันก็น่าจะเป็นสิทธิ์ในการเลือกใช้ชีวิตของเราไม่ใช่เหรอ ที่จะเลือกทำหรือไม่ทำอะไร อีกอย่างนะคะ คนที่มีความสุขในตัวเองเพียงพอเท่านั้นแหล่ะที่จะสามารถเผื่อแผ่ความสุขให้กับผู้อื่นได้อย่างเต็มที่และอย่างจริงใจ

อย่าลืม! ชมรม hedonista ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทุกเมื่อนะจ๊ะ คุณนายหน่อยขอตัวไปหาความสุขเล็กๆ ใส่ตัวก่อน :)

Tuesday, May 17, 2011

30, flirty, and thriving!





สวัสดีคุณนายทั้งหลาย

โดยเฉพาะคุณนายทุกท่านที่เป็น thirty something ที่ยังโสดอยู่ รู้สึกกันอยู่บ้างไหมว่าชีวิตมันช่างลำบาก แต่ละครั้งแต่ละคราวที่ต้องเผชิญกับคำถามและคำเตือนที่มาจากความหวังดีของคนรอบข้าง รู้สึกกดดันหรือเหนื่อยบ้างไหม

เบื่อไหม เวลาที่ต้องไปงานแต่งงานคนเดียว กลับคนเดียว ต้องไปมองหาคนที่รู้จักในงานจะได้ไม่ต้องยืนกร่อยอยู่คนเดียว หรือไม่ก็ต้องโทรหาเพื่อนสาวโสดคนอื่นเพื่อนัดกันไป เวลาเห็นวิดีโอพรีเซ็นเทชั่นของคู่บ่าวสาวแล้วนึกอยู่ในใจลึกๆ ว่าถ้าเป็นงานเรา เราจะใช้เพลงอะไร แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

เบื่อไหม เวลาไปกินข้าวรวมญาติ แล้วญาติๆ ชอบถามคำถามเดิมๆว่าเมื่อไหร่จะพาแฟนมาหา เมื่อไหร่จะแต่งงาน สามสิบแล้ว แต่งได้แล้ว ฯลฯ แล้วเราได้แต่กลืนน้ำลาย ยิ้มแหยๆ แต่ไม่รู้จะตอบว่าอะไร

เบื่อไหม เวลาไปกินข้าวเลี้ยงรุ่นกับเพื่อน แล้วเพื่อนเข้ามาทักว่าเป็นไงบ้าง มีแฟนรึยัง สามสิบแล้ว แต่งได้แล้ว มีครอบครัวมันดีงั้นงี้ ฯลฯ เคยคิดอยากตอบกลับไปไหมว่า อือม ถ้าไม่มีอะไรจะคุย ก็ชวนคุยเรื่องฝนฟ้าอากาศก็ได้นะ เรื่องนี้ไม่ค่อยอยากคุย

เบื่อไหม เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วเห็นวิวสวยๆ น่าประทับใจ น่าเก็บไว้ในความทรงจำ แล้วอยากจะแบ่งความรู้สึกดีๆ นั้นกับใครซักคนที่เป็นคนพิเศษ แล้วไม่รู้จะโทรหาใครดี จะโทรหาเพื่อนสาวกับเรื่องแบบนี้ มันก็ไม่ใช่ซักทีเดียว

เบื่อไหม เวลาขับรถพาพ่อแม่ไปที่ใดที่ไหน กะว่าวันนี้เราทำตัวเป็นคุณลูกสาวที่น่ารัก แล้วแม่ถามว่า ลูกจ๋า มีแฟนเป็นตัวเป็นตนได้แล้ว แต่งได้แล้วลูก เราไม่เด็กแล้วนะ แม่จะได้เลิกกังวลเรื่องเราซะที แล้วเราก็เซ็งจนอดเถียงแม่ไม่ได้ แล้วเราก็มาเซ็งต่อที่เผลอไปเถียงแม่

สาวๆจ๋า... ชีวิตมันก็ยากอยู่แล้วนะ ไหนจะต้องต่อสู้ในที่ทำงาน ต้องให้ผลงานเข้าตากรรมการ ต้องดูแลลูกน้อง ดูแลธุรกิจให้ราบรื่น ไหนจะต้องดูแลพ่อแม่พี่น้อง ญาติโก ทั้งหลายที่ตั้งความหวังกับเราให้เราเป็นลูกสาว, พี่สาว, น้องสาว, หลานสาวที่ดี ไหนจะต้องดูแลตัวเองให่ไม่อ้วน ไม่แก่ ไม่เหียว ไม่ดำ ไม่ป่วย ไม่โทรม ในยุคที่สาวประเภทสองสวย ขาว สูง และขาเรียวกว่าเราหลายเท่า ไหนจะต้องทำใจให้ได้กับเหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวาย เดี๋ยวเสื้อเหลือง เสื้อแดง นายกหน้าเหลี่ยม นายกหน้าหล่อ รัฐบาลทะเลาะกันเอง ฝ่ายค้านค้านแบบหน้าด้านๆ เดี๋ยวเผาเมือง เดี๋ยวยุบสภาฯ พระข่มขืนเณร เด็กชนคนตายแล้วไม่มีความผิด ฯลฯ

ชีวิตมันยาก และเหนื่อย และกดดันมากพออยู่แล้ว... ทำไมถึงอยากเพิ่มเรื่องไอ้สถานะที่คุณเป็นโสดมากดดันตัวเองอีกเรื่องนึงเล่า ในทั้งหมดทุกคนที่กดดันคุณอยู่ ความรู้สึกของตัวคุณเองเนี่ยแหล่ะสำคัญสุด และมีความหมายมากสุด ถ้าเราเองยังกดดัน ตำหนิ ต่อว่าตัวเองอยู่ จะคิดต่อสู้ความกดดันที่มาจากคนอื่นได้ยังไงล่ะจ๊ะ

ตัวคุณเองน่ะเจ๋งจะตายไป รู้ตัวบ้างรึเปล่า ชีวิตก็ดี การงานก็ดี (เพิ่มหน้าตาก็ดีเข้าไปอีกหนึ่ง) อยากให้คุณตระหนักถึงความเยี่ยมยอดของตัวเอง แล้วยืดอกน้อมรับสถานภาพโสดอย่างเต็มภาคภูมิ แล้วบอกกับตัวเองและคนรอบข้างว่า "ก็ชั้นเลือกจะโสด ใครจะทำไม ชั้นเองยังไม่เดือดร้อน ชีวิตชั้นก็มีความสุขดีแล้วคุณคนอื่นๆ จะเดือดร้อนกันแทนชั้นทำไมกันจ๊ะ" (พร้อมแจกยิ้มกว้างแบบจริงใจสุดๆ)

และการที่คุณอยู่ในช่วง thirty something กันแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าคุณต้องรีบตะครุบหนุ่มคนต่อไปที่เข้ามาในชีวิตนะจ๊ะ ก็ในเมื่อมันรอมาได้ขนาดนี้แล้ว รอต่อไปอีกซักหน่อย ก็คงไม่เป็นไรมั้ง แล้วถึงรอแล้วไม่มา ก็คงไม่เป็นไรอีกนั่นแหล่ะ ดีกว่าลงเอยไปกับคนที่ไม่ใช่ เพียงเพื่อที่จะหนีสถานภาพโสดของตัวเอง อย่างนั้นมันคงเศร้าเกินไปจริงๆ

เคยดูหนังเรื่อง 13 Going on 30 กันรึเปล่า ในหนังเค้าพูดถึงผู้หญิงอายุ 30 ไว้ว่า "30, flirty, and thriving!" นั่นล่ะ สาวเลขสามตัวจริง ถ้ายังไม่รู้สึกดีขึ้น ให้ไปดู Sex and the City series ที่พูดถึงผู้หญิง 30 something สี่คนที่ fab สุดๆ ที่ไม่ว่าจะมีผู้ชายหรือไม่มี ชีวิตก็เริ่ดเชิดหยิ่งอยู่ได้ อ่ะ ถ้ายังไม่รู้สึกดีขึ้นอีก ให้ไปฟังเพลง "สามสิบยังแจ๋ว" ของยอดรัก สลักใจอีกเพลงละกัน

อยากให้สาวๆ ทุกคนใช้ชีวิตช่วงเลขสามกันอย่างเปี่ยมสุข อย่างมีศักดิ์ศรี อย่างเต็มไปด้วยความรัก... รักใครน่ะเหรอ ก็รักตัวเองนี่แหล่ะ ง่ายจะตายไป เริ่มจากคนที่ใกล้ตัวคุณที่สุดคนนี้ก่อน แล้วถ้ามีผู้ชายที่โชคดีคนนั้นปรากฎขึ้นมาในชีวิต ค่อยคิดและพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนจะเผื่อแผ่ความรักที่มีอยู่เพียบไปให้เค้าก็ละกัน

Sunday, May 1, 2011

There's Summer & Tom in everyone of us




Hi Khunnais,

Tonight I watched 500 Days of Summer for the xx time. Well, I love this movie. There hasn't been any boy-meets-girl movie that I prefer over this one since. I really recommend you see it if you haven't.

It's a great story about modern relationship, where the guy isn't that typical guy from Mars, and the girl isn't really from Venus. Tom, played by sweet Joseph-Gorden Levitt, talks about his feelings to his friends and his sister, and describes why he adores Summer at length. He gets attached. He wants to define the status of their relationship. He believes in love and soul mate. Summer, played by the effervescent Zooey Deschanel, wants to be in the relationship for the ride, not looking for anything serious. She avoids "the talk". And she thinks true love is a fairy tale the way Santa Claus is.

I identify with Tom at some point in my life, and with Summer at the other. You know there were times you think this one is it, and you went for it so wholeheartedly only to realize that you ran and ran and ran all alone. There were times when you really wanted it to be it coz the other person is so good to you, but you knew all along that he is not your 'it' so you had to end it, thus hurting him.


500 Days is not your typical boy-meets-girl film coz it carries so much pain in it (unlike a normal rom-com which is always happy and cheerful). Tom didn't understand why he and Summer didn't work out when he knew the first time he met her that she was the one for him. Yet amongst the mourning and aching of Tom, the film offers hope. As if it tries to say that losing one love isn't the end of the world. It is the beginning of a new journey. Maybe it's a journey for you to a meet the right one, who might be waiting just around the corner.

So why bother suffering through all these pains at all? Coz when you miraculously meet the right one, any pain you have suffered is worth it. And you will be thankful for all Summers you have met, coz all the wrong things happened with you and Summers make it crystal clear what it feels like when you meet the right one.