Saturday, September 24, 2011

France with Khunnai #2: The Fresh Memory




สัญญากับผู้คนและตัวเองไว้ว่าจะบล็อคทริปฝริ่งเศสอย่างเป็นจริงเป็นจัง เมื่อเดือนก่อนเพิ่งบล็อคเรื่องเตรียมตัวกันไป ยังเล่าเรื่องเตรียมตัวไม่ทันจบ ก็ถึงเวลาไปซะแล้ว สองสัปดาห์ผ่านไปไวเหมือนโกหก แปร๊บๆ จบทริป คุณนายกลับเมืองไทยซะแล้ว แต่ก่อนที่จะบล็อครายละเอียดเรื่่องเที่ยว คุณนายอยากบันทึกความรู้สึกและความทรงจำที่อยู่ในใจซะก่อน ขณะที่ความรู้สึกมันยังสดๆอยู่

หลายคนสงสัย ว่าทำไมไปนานจัง แล้วไปแค่ประเทศเดียวเอง ที่สำคัญ​ ไปแค่ปารีสกับโพรวองซ์! ไปทำอะไรตั้งสองสัปดาห์ คำตอบคือ คุณนายเป็นคนรักรายละเอียด รักที่จะจดจำสิ่งละอันพันละน้อย เรียกง่ายๆ ว่าชอบเที่ยวแบบอ้อยอิ่ง ขอเอ้อระเหยเสียเวลากับโน่นนั่นนี่ให้มันรู้สึกอิ่มเอมก่อนจะดอดไปอีกที่หนึ่ง แล้วไอ้การเที่ยวแบบอ้อยอิ่งนี่แหล่ะที่จะทำให้เราได้พบได้เห็นอะไรที่มันไม่ได้อยู่ในแผนการเที่ยวของเรา และสิ่งเหล่านั้นมันมักจะเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดในทริปเสมอๆ

ในหลายๆทริปที่เราไป เราสนุกกับทริปเพราะเราได้ไปกับคนที่รู้ใจ ที่สนิท ที่สร้างสีสันให้ทริปนั้นได้สนุก แม้ว่ามันอาจจะเป็นสถานที่เที่ยวธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรเลิศเลอใหญ่โตโอฬาร ไม่ได้เป็นที่เที่ยวในฝันอะไรขนาดนั้น หรือในหลายๆทริป เราก็ยอมไปเที่ยวทั้งๆที่หาคนถูกใจไปด้วยไม่ได้ เพราะสถานที่ที่ไปมันช่างโดนใจเหลือเกิน ใฝ่ฝันว่าจะไปมาตลอด กลัวพลาดไม่ได้ไปแล้วจะเสียใจ เราก็สนุกกับทริปเพราะเราได้ไปพบไปเห็นสิ่งที่เราอยากเห็นมานานแสนนาน...

คงมีไม่บ่อยครั้งนัก (อย่างน้อยก็จริงมากกับคุณนาย) ที่ทั้งสองอย่างมาอยู่รวมกันในทริปเดียวกัน เราได้ไปดินแดนที่เราใฝ่ฝันจะไป ได้เสพย์ความงามตามธรรมชาติ งานศิลปะ วัฒนธรรมการกิน การใช้ชีวิต และเราได้สัมผัสประสบการณ์มีค่าเหล่านั้นกับคนที่เราสนิทใจ เผอิญเหลือเกินที่ผู้ร่วมทริปนี้นั้นก็ชอบงานศิลปะ ชอบงานสถาปัตยกรรม ชอบเมืองเก่า ชอบประวัติศาสตร์ ชอบวัฒนธรรม ชอบการใช้ชีวิต และที่สำคัญ.. ชอบเที่ยวแบบอ้อยอิ่งเหมือนคุณนาย (อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ!)

มันทำให้ประสบการณ์ + ความรู้สึก มันลึกขึ้นอีกหลายเท่า...จริงๆ นะ

มันเลยทำให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาพิเศษที่ทำให้ทริปนี้พิเศษและน่าจดจำที่ปารีสเราเลยได้นั่งนิ่งๆบนม้านั่งในLuxembourg Garden ดูต้นไม้สีสวยๆที่เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงเห็นคนมานั่งพลอดรัก นั่งอ่านหนังสือ พาสุนัขมาเดินเล่นเห็นชีวิตคนปารีสผ่านไปอย่างช้าๆ ที่ไอเฟิล เรามีเวลานั่งดูหอไอเฟิล ตั้งแต่แสงอาทิตย์รำไรไปจนพระอาทิตย์ตก แสงท้องฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ไปจนมืด เห็นแต่แสงไฟที่ประดับบนหอไอเฟิลกับลำแสงที่สาดเป็นทางจากบนยอดหอเราได้นั่งรอช่วงเวลาพิเศษที่เค้ากระพริบไฟบนหอไอเฟิลเป็นเวลาเกือบห้าที ในทุกๆหนึ่งชั่วโมงทำให้เมืองปารีสช่วงค่ำคืน โรแมนติกเพิ่มขึ้นไปอีก
แสงไฟกำลังกระพริบบนหอไอเฟิล ถ่ายจากอีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับสวน

ที่ลูฟร์มิวเซียม เราได้เดินอย่างที่เราอยากเดินไม่ได้แค่เพ่งตรงไปที่ส่วนไฮไลท์ ได้ใช้เวลาทั้งวันที่นั่น ที่ออร์เซย์ก็เช่นกัน เราได้พินิจงานของศิลปินที่เราชอบอย่างDegas, Manet, Monet, Renoir, Van Gogh, Gaugin, Courbet เราได้ดูงานเฟอร์นิเจอร์อาร์ตนูโวสวยๆที่ปอมปิดูเราไปค้นพบจุดชมวิวทั่วทั้งปารีสที่เราประทับใจที่สุดบนชั้นบนสุดของมิวเซียมด้านนอกของมิวเซียมเป็นจุดชมวิวและถ่ายรูปที่สวยมากจริงๆ ที่มาเรส์ ราได้เดินเข้าไปด้านหลังโรงแรมเก่า ที่เป็นสวนเล็กๆ ของโรงแรมที่เป็นความน่ารักที่ซ่อนอยู่ เราได้นั่งพักผ่อนในจตุรัสเก่าสุดโรแมนติกที่เคยเป็นที่ที่แฮปเพนนิ่งมากของปารีส ที่มองมาร์ต เราได้หลุดเข้าไปในจตุรัสเล็กๆอันนึง ที่เป็นบ้านพักเก่าของปิคาสโซ ตรงกลางจตุรัสเป็นต้นไม้ร่มรื่น มีคนแก่ๆสองคนมาหมุนเครื่องดนตรีเป็นเพลงเก่าฟังแล้วได้อารมณ์มากเราเห็นแม่อุ้มลูกเต้นรำไปกับเสียงดนตรี ที่แวร์ซาย เราได้เดินดูวังเล็กที่พระนางมารีอังตัวเน็วตใช้ชีวิตอยู่ในช่วงที่พระองค์อยากปลีกวิเวกจากผู้คนมันเป็นวังที่ไกลออกไปจากวังหลักของแวร์ซายมากได้เดินเล่นในสวนของพระองค์ซี่งไม่ใหญ่เท่าสวนแวร์ซายแต่เป็นส่วนตัวกว่าได้เห็นแวร์ซายกับแสงสุดท้ายของวันก่อนพระอาทิตย์ตกจึงเห็นพระราชวังสีทองและเงาสะท้อนบนน้ำเป็นสีทองเช่นกัน
พระอาทิตย์กำลังจะตกที่แวร์ซายส์

อีกสัปดาห์นึงเราไปโพรวองซ์​เราใช้เวลาไปวันละสองสามเมือง เราไม่ยอมไปแค่เมืองที่เค้าเขียนไว้ในไกด์บุ๊ค แต่เราถามจากลุงๆป้าๆ ที่เป็นเจ้าของ B&B ที่เราพักอยู่ว่าที่ไหนลุงป้าชอบ เราเลยได้ไปเมืองที่หานักท่องเที่ยวแทบไม่ได้เรียกว่านับก้อนอึหมาที่คนฝรั่งเศสพามาเดินเล่นยังเยอะกว่านักท่องเที่ยว เราได้ไปสั่งอาหารสเปนเป็นภาษาฝรั่งเศสกระท่อนกระแท่นในเมืองที่ไม่มีร้านอาหารอื่นเปิดเลยแต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีอิทธิพลของการพยายามเอาใจนักท่องเที่ยวมาแทรกแซงและแต่ละเมืองก็ยังมีสถาปัตยกรรมที่หลงเหลือจากยุคกลางเก่าๆ ที่คงสภาพอย่างไรอย่างนั้นเพราะเมืองคงไม่มีเงินบูรณะ เราได้เห็นป้อมปราการเก่า วังเก่า ที่อวินยอง เราไม่ได้ดูแค่Palais de Pape ที่โด่งดัง แต่เราข้ามฝั่งไปที่วิลเลจเล็กๆ นอกอวินยอง ไปดูวัดเก่าที่โป๊ปเคยสร้างไปดูป้อมปราการเก่า ที่ทำให้เราได้เห็นวิวของโพรวองซ์ที่สวยงามมากในเวลาที่แสงอาทิตย์เป็นสีทองพอดีที่แซงเรมี่ เราได้ตามรอยแวนโก๊ะไปดูโรงพยาบาลที่เค้าพักอยู่เป็นเวลาปีกว่า กับพื้นที่รอบๆที่สร้างแรงบันดาลใจให้เค้าเขียนภาพสำคัญๆ ในช่วงท้ายของชีวิต และที่เซอร์ไพรส์มากคือเราได้ไปเมืองโบราณสมัยโรมันเก่าที่เรียกว่าGlanum ที่เค้าขุดเจอในโพรวองซ์ เราได้ขับรถตามทางอันฉวัดเฉวียนได้ดูไร่องุ่น ไร่มะกอก สองข้างทาง จากเนินเขาต่ำๆ ไปจนถึงยอดเขาสูง ขับผ่านหุบเขาเลยเห็นวิวของบ้านเมืองทั้งหมดขับรถผ่านทุ่งหญ้าในช่วงอาทิตย์ตกดิน เห็นแสงท้องฟ้าสีสวยเหมือนศิลปินimpressionism แต้มสี เห็นก้อนเมฆก่อตัวเป็นรูปร่างสวยเหมือนใครบรรจงสร้างไว้ ได้ดูAquaduct เก่าที่ชาวโรมันสร้างไว้ ในตอนที่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนอีกแล้วนอกจากเราอยู่จนมืด จนเห็นเค้าเปิดไฟเป็นสีต่างๆ ตกแต่งให้ Aquaduct ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้นได้ไปกิน Lunch ที่ร้านอาหารสุดอร่อยนอกเมือง ที่ซึ่งเราเป็นเอเชียหนึ่งเดียว เมนูฟูลคอร์สเสิร์ฟอย่างดีและอาหารอร่อยมากๆๆ ในทุกอย่าง ในราคาที่ไม่น่าเชื่อ ได้เห็นเมืองโบราณบนหุบเขาหลายเมืองภาพที่เห็นมันเป็นความงามที่ลงตัวของธรรมชาติ อารยธรรมเก่าชาวโรมัน และวัฒนธรรมของชาวโพรวองซ์ที่เมืองเลอบู เราอยู่ตั้งแต่เย็นจนค่ำจนดึก เดินเมืองโบราณเล็กๆ นี้มันประมาณสามรอบครึ่งเพราะอยากเห็นเมืองในสามสีที่ต่างกัน
หนึ่งในน้ำพุสวยๆใน Aix-en-Provence

เรายังได้ผจญภัยได้ตื่นเต้น ตกใจ ได้เครียด ได้งง ได้แก้ปัญหา ได้เหนื่อย ยังจำตอนที่ต้องยกกระเป๋าขึ้นลงบันไดในสถานีรถไฟต่างๆเพราะเราไม่ขี้นแท๊กซี่ เวลาที่เดินผ่านทางเดินที่มีคุณตัวรุ่นป้ายืนหาลูกค้าในซอยอพาร์ทเม้นท์ที่เราอยู่(อันนี้ตลกมากกว่าอันตราย) ตอนที่เดินหลงทางหาถนนไม่่เจอจนงง เวลาเดินหาห้องน้ำในกลางเมืองปารีสตอนสี่ทุ่ม เวลานั่งรถไฟใต้ดินร่วมกับกองเชียร์ทีมปารีสแซงค์แยเมงในแมชท์ที่เค้าแพ้เวลาเดินจากแวร์ซายกลับสถานีรถไฟในตอนที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเหลือแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิทอากาศเริ่มหนาว ลมแรง ปากสั่น คืนสุดท้ายที่ต้องตามหาปั๊มน้ำมันที่ยังเปิดอยู่ในเวลาสามทุ่มและยอมรับบัตรเครดิตจำได้ว่าปั๊มที่เจอเป็นปั๊มที่หกที่เราหากัน การพยายามขับรถเลนตรงข้าม พวงมาลัยตรงข้ามในรถที่ใหญ่มากบนเลนถนนที่เล็กเกินรถสองคันจะวิ่งสวนกันได้ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เลี้ยวเข้าเลนผิดที่ขับเลย การทำความเข้าใจกับระบบการจอดและการจ่ายเงินค่าจอดรถของโพรวองซ์หลังจากโดนใบสั่งไปหนึ่งใบ
เรายังได้พบเพื่อนใหม่ได้เจอเจ้าของอพาร์ทเมนต์และ Bed & Breakfast ที่ใจดี มีเทสต์เป็นเลิศ ที่ทำที่พักเพราะอยากรู้จักเพื่อนใหม่ต่างเมืองได้เจอนักท่องเที่ยวที่อยากคุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ดูยังเด็ก(เมื่อเทียบกับเค้า) และไม่ใช่ฝรั่ง ได้รับความใจดีจากคนฝรั่งเศสทุกคนที่ช่วยบอกทางช่วยแปลภาษา หลายๆ คนช่วยทั้งๆที่พูดอังกฤษไม่ได้
ว่าจะเขียนสั้นๆแต่พอเริ่มเขียนแล้วเรื่องราวต่างๆ ก็พร่างพรูออกมาอย่างไม่มีหมด ประทับใจกับความอึดของตัวเองและผู้ร่วมทริปที่เรามักจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้ายเสมอ ดีใจที่ไปมันแค่ประเทศเดียวแต่ได้กลับมาอย่างเยอะขอบคุณนะคะปารีส ขอบคุณนะคะโพรวองซ์​ ขอบคุณนะคะผู้ร่วมทริป :)

Thursday, September 1, 2011

A Kiss is Still a Kiss



You must remember this
A kiss is just a kiss, a sigh is just a sigh.
The fundamental things apply
As time goes by.

And when two lovers woo
They still say, "I love you."
On that you can rely
No matter what the future brings
As time goes by.

Moonlight and love songs
Never out of date.
Hearts full of passion
Jealousy and hate.
Woman needs man
And man must have his mate
That no one can deny.

It's still the same old story
A fight for love and glory
A case of do or die.
The world will always welcome lovers
As time goes by.

Oh yes, the world will always welcome lovers
As time goes by.



"As Time Goes By" by Herman Hupfeld
"The Kiss" by Gustav Klimt